วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552
บทที่ 2
ความตกใจว่า”อ๊ายยยยย อย่านะ อย่าทำอะไรเค้านะ เค้าเป็นคนมีพ่อมีแม่นะ อย่า! ม่ายยย” แล้วเขาก็ดีดตัวขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว “แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก เฮ้อ~~~
โอย~~~ โชคดีที่เป็นฝัน” แล้วเขาก็มองไปที่เป้าที่เปียกแฉะของตัวเอง “โอ้....ฝันซะ........เยื้อมเชียะ” เขาพูดกะตัวเองเบาๆ “นี่พี่ โตจนหมาเลีย ด-กไม่ถึงแล้วยัง
เยี่ยวรดกางเกง....พี่ทำ ได้ไงอ่ะ” อัศดามองไปทางเสียงดังกล่าวเห็นเด็กชายคนหนึ่งในชุดประหลาดยืนก้มมองมาที่ เป้าของเขาและเหมือนจะด่าต่อ อัศดาเหลือบ
ไปเห็นสิ่งมีชีวิตชนิด หนึ่งนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ที่ปลายเท้าของเขา “เ!้-!!!!!โว้ยย!!!!เ!้-!!!!” เขาร้องตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมกับวิ่งไปวิ่งมาแถวๆนั้น
“นี่พี่ ถามหน่อย ที่นี่มันที่ไหนกันเหรอ” เด็กหนุ่มพูดทักเผื่อว่าอัศดาจะหยุดวิ่งแล้วมาคุยด้วย อัศดาเริ่มตั้งสติและพยายามอยู่ห่างๆจากเตี้ยฮัว เขานั่งพักแล้วตอบกลับ
“ไม่ รู้สิ ผมรู้อีกทีก็อยู่ที่นี่แล้วนิ” เด็กหนุ่มทำหน้างงๆแล้วก็อุ้มเตี้ยฮัวมาอุ้มและพูดต่อ “อะไรอ่ะพี่ ก็เรามาด้วยกันมะใช่เรอะ แล้วจะไม่รู้ได้ไง ก็พี่เป็นคนขับมาอ่ะ”
พูด เสร็จก็ชี้ไปที่รถที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ รถคันนั้ต่างจากในฝันของอัศดา ในความฝันนั้นมันตะแคงข้างและเต็มไปด้วยรอยเลือดทั่วตัวรภ แต่ตอนนี้มันยังจอดนิ่งๆ
ในสภาพที่รถทั่วไปควรจะจอดและปราศจากรอย เลือดมีแต่รอยบุบหลายแห่ง พร้อมกับเศษดินหญ้าที่ติดตามรถ “เฮ้ย ไหงมันเป็นงั้นอ่ะ” อัศดาพูดด้วยความ
ประหลาดใจพลางชี้ไปที่รถ “มันก็เป็นรถอ่ะดิพี่ โห สมองพี่นี่ทำด้วยไรเนี่ย” เด็กคนนั้นก็ตอบแบบกวนๆกลับมา “เอ่อ แล้วคุณน้องเป็นใครล่ะครับ ด่าผม ปาวๆ เชียะ”
อัศดาตอบกลับพร้อมหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม “ผม?” พูดพลางชี้ไปที่หน้าตัวเอง “ก็ลู รุ่นน้องของพี่ในที่บริษัท♦♠♣♥ไง จำมะได้เหรอ” ลูพูดตอบ อัศดา
ทำหน้างงเล็กน้อย..... “อ๋อ ลู จำได้ละ นายที่นั่งรถมาด้วยกันใช่ป้ะ” อัศดาตอบไปมั่วๆแต่ก็ถูกประเด็น “เออ นึกว่าความจำเสื่อมซะละ” ลูตอบพร้อมกับหันมองไปรอบๆ
“พี่ว่าที่นี่น่าจะเป็นเมืองที่เราจะมาทำงานกันนะ” อัศดาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “เอ่อ แล้วจะไปไหนต่อดีอ่ะพี่” ลูพูดถาม “น่าจะไปทางนี้ก่อนนะ”อัศดานึกถึง
ทางที่เขาเห็นในฝัน มันคือโรงปั่นไฟ แล้วเขาก็เดินไปตามทางที่จำได้ เขาเจอป้ายเตือนเหมือนกับที่เจอในฝันเด๊ะ แต่ในโรงปั่นไฟ ไม่มีเด็กคนนั้น “ฮ้า เจอละเดี๋ยว
พี่ขอเข้าไปดูก่อนนะ” อัศดาสังเกตว่ามีลูกกรงเปิดอยู่จึงคิดที่จะเดินเข้าไป “พี่ ผมไปด้วยดิอยู่ ผมไม่อยากอยู่กับไมเคิ่ลแค่สอง......คน เนอะไมเคิ่ล” พูดเสร็จลูก็วิ่ง
ตาม อัศดาเข้าไปในโรงปั่นไฟ อัศดาเจอกองเลือดกองหนึ่งซึ่งเขาจำได้ว่า ในฝันเขาโดนพวกมันแทะเล่นตรงนี้ เขามองไปเห็นสร้อยเส้นนึงซึ่งตกอยู่ไม่ห่างจากกองเลือดนัก
มันเป็นสร้อยคอของเขาเองซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ได้ แต่เขก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาจึงหยิบมันขึ้นมาและใส่ที่คอเหมือนเดิม ไม่ไกลจากจุดที่มี
รอยเลือดมีรอยเลือดรูปฝ่าเท้าเล็กๆเดินไปทาง หลังโรงปั่นไฟ ทั้งคู่เดินตามรอยเท้านั้นไป สุดรอยเท้านั้นพบห้องควบคุมของที่นี่ซึ่งประตูก็เปิดแง้มเล็กน้อย
เหมือน จะเชิญทั้งคู่ให้เข้าไปดูข้างใน “เอาไงดีอ่ะพี่ จะบวกไม่บวก” ลูถามกวนๆ อัศดาหันมองหน้าลูและพลันนึกถึงเรื่องในฝันว่าถ้าหากเปิดไปเจอนายแบบนั้น นี่...
ซิปหายแน่ เขาจึงเอ่ยชวนลู “ลู เข้าไปด้วยกันนี่แหละ...มันจะมีอะไรในนั้นนักหนาวะ” พูดเสร็จก็ไปเกาะแขนลูแน่นปานปลิง ลูมองหน้าอัศดาด้วยความ
ขยะ แขยงและเดินเข้าไปดูด้วยกันด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจนัก สิ่งแรกที่พบคือ รอยเลือดที่เปื้อนไปทั่วห้อง สภาพภายในห้องกระจัดกระจาย โต๊ะ-เก้าอี้ล้ม
เละเทะ ,แผงควบคุมก็มีเลือดฉาบอยู่บาน กลิ่นเหม็นเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ทั้งสองเดินสำรวจรอบๆห้องเผื่อว่าจะมีอะไรนอกจากรอยเลือดนี่บ้าง
“นี่ พี่ ในนี้มันต้องมีตัวอะไรซักตัวมาละเลงเลือดนี่เล่นแน่เลยพี่” ลูชวนคุยและเขาก็พบอะไรบางอย่างที่มุมห้อง “นี่ลู พี่เจอนี่ด้วยแหละน่าเล่นมะ” อัศดาหยิบ “วอล์คกี้ทอล์กกี้” ขึ้นมาชูพร้อมโพสท่าขอโออิชิสี่กล่อง(มีสองมือก็ต้องสี่กล่องชิมิ)ให้ลูดู “....=__=.... เอ่อ...
ดูนี่ก่อนดีกว่าพี่” ลูหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้น
มาวางบนโต๊ะและเปิดออก ดู “มีอะไรบ้างอ่ะ” อัศดาถามด้วยความสงสัย ภายในกระเป๋าลูพบกุญแจปริศนาหนึ่งดอกกับเอกสารสามชุด สองชุดนั้นเป็นสำเนา
ของ สำนวนฟ้องร้องของใครบางคน ส่วนอีกชุดเป็นแผนที่ของเมืองๆหนึ่ง อัศดาขอดูแผนที่พร้อมบอกกับลูว่านี่คือแผนที่ของที่นี่ “แล้ว...เราอยู่ที่ตรงไหน
ของแผนที่อ่ะ” ลูยิงคำถามใส่ “ไม่รู้สิ” อัศดาตอบตามสภาพที่รู้ “แต่พี่ว่านา เราต้องมีวิทยุสื่อสารเอาไว้ใช้ก่อนเผื่อหลงจะได้วอเรียกกันได้” อัศดายื่นวิทยุสื่อสาร
ให้ลู ลูยังไม่ทันรับของเขาก็หันไปหยิบขวานดับเพลิงขึ้นมา “ผมว่าพี่มีนี่ก็น่าจะดีนา อ้ะขอบคุณครับ” ลูรับวิทยุแล้วเอาไปเหน็บกับกางเกง “ขอเก็บกระดาษ
พวกนี้ก่อนพี่ แป้บ” ขณะที่ลูกำลังเก็บของอยู่นั้นอัศดาเหลือบไปเห็นผีนายแก่ที่อยู่ในฝันกำลัง คลานเข้ามาในห้อง ซึ่งลูยังคงหันหลังให้ประตูอยู่ เขาจึงรีบอะบาคัต
ผี นายแก่ด้วยขวานจนมันลอยและเขี่ยมันไปข้างๆห้องควบคุมและกระหน่ำจามใส่จนมัน นอนนิ่งอยู่กับพื้น มันร้องควญครางเบาๆก่อนสิ้นใจ ภายในห้อง
ไม เคิ่ลเตี้ยฮัวตัวน้อยได้สะกิดลูให้มองไปที่แผงควบคุมทางขวาเห็นอักษรเลือด ว่า “3F+S14” ลูอ่านแล้วจดข้อความดังกล่าวใส่ที่ด้านหลังแผนที่
พอ จดเสร็จเขาก็หันหาอัศหาแต่เขาหายไปกำจัดเศษซากนายแก่อยู่ “อ้าว พี่อัศ อยู่ไหนอ่ะ ผมเสร็จละนา” ลูตะโกนถาม “มาแล้ว มาแล้ว ดอดไปสี่แป้บเดียวเอง
ป้ะ เสร็จละ” อัศดารีบวิ่งมาหาลูเพื่อไม่ให้เขาต้องเห็นภาพอุจาดตาที่ได้เกิดขึ้น แล้วพวกเขาก็เดินกลับไปตั้งหลักกันที่รถ “อืมๆๆ สงสัยนี่คงเป็นกระเป๋าของ
ทนาย ไม่ก็อัยการล่ะมั้ง” อัศดาพูดเบาพลางอ่านรายชื่อในสำนวนฟ้องในมือ “แล้วจะเอาไงต่อไปอ่ะพี่ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้อยู่ที่ไหนเลย” ลูพูดอย่างหัวเสีย “ใจเย็นๆลู
จากรถที่เราอยู่เนี่ยมันน่าจะอยู่ ไม่ห่างถนนซักเท่าไหร่จริงมั้ย งั้นเดี๋ยวตามรอยที่รถกลิ้งมาละกันเผื่อจะมีอะไรเป็นเบาะแสให้เราได้มั่ง โอเค้ะ” อัศดาพล่ามยาวให้ลูฟัง
ลูต้องกลับด้วยอารมณ์เซ็ง “เอางั้นก็ได้พี่ ป้ะ” ทั้งคู่เดินตามรอยดินรอยหญ้าที่ถูกรถกระแทกเป็นหลุมไปเรื่อยๆจนถึงลานจอดรถ แห่งหนึ่ง........................
บทที่ 2
ความตกใจว่า”อ๊ายยยยย อย่านะ อย่าทำอะไรเค้านะ เค้าเป็นคนมีพ่อมีแม่นะ อย่า! ม่ายยย” แล้วเขาก็ดีดตัวขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว “แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก เฮ้อ~~~
โอย~~~ โชคดีที่เป็นฝัน” แล้วเขาก็มองไปที่เป้าที่เปียกแฉะของตัวเอง “โอ้....ฝันซะ........เยื้อมเชียะ” เขาพูดกะตัวเองเบาๆ “นี่พี่ โตจนหมาเลีย ด-กไม่ถึงแล้วยัง
เยี่ยวรดกางเกง....พี่ทำ ได้ไงอ่ะ” อัศดามองไปทางเสียงดังกล่าวเห็นเด็กชายคนหนึ่งในชุดประหลาดยืนก้มมองมาที่ เป้าของเขาและเหมือนจะด่าต่อ อัศดาเหลือบ
ไปเห็นสิ่งมีชีวิตชนิด หนึ่งนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ที่ปลายเท้าของเขา “เ!้-!!!!!โว้ยย!!!!เ!้-!!!!” เขาร้องตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมกับวิ่งไปวิ่งมาแถวๆนั้น
“นี่พี่ ถามหน่อย ที่นี่มันที่ไหนกันเหรอ” เด็กหนุ่มพูดทักเผื่อว่าอัศดาจะหยุดวิ่งแล้วมาคุยด้วย อัศดาเริ่มตั้งสติและพยายามอยู่ห่างๆจากเตี้ยฮัว เขานั่งพักแล้วตอบกลับ
“ไม่ รู้สิ ผมรู้อีกทีก็อยู่ที่นี่แล้วนิ” เด็กหนุ่มทำหน้างงๆแล้วก็อุ้มเตี้ยฮัวมาอุ้มและพูดต่อ “อะไรอ่ะพี่ ก็เรามาด้วยกันมะใช่เรอะ แล้วจะไม่รู้ได้ไง ก็พี่เป็นคนขับมาอ่ะ”
พูด เสร็จก็ชี้ไปที่รถที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ รถคันนั้ต่างจากในฝันของอัศดา ในความฝันนั้นมันตะแคงข้างและเต็มไปด้วยรอยเลือดทั่วตัวรภ แต่ตอนนี้มันยังจอดนิ่งๆ
ในสภาพที่รถทั่วไปควรจะจอดและปราศจากรอย เลือดมีแต่รอยบุบหลายแห่ง พร้อมกับเศษดินหญ้าที่ติดตามรถ “เฮ้ย ไหงมันเป็นงั้นอ่ะ” อัศดาพูดด้วยความ
ประหลาดใจพลางชี้ไปที่รถ “มันก็เป็นรถอ่ะดิพี่ โห สมองพี่นี่ทำด้วยไรเนี่ย” เด็กคนนั้นก็ตอบแบบกวนๆกลับมา “เอ่อ แล้วคุณน้องเป็นใครล่ะครับ ด่าผม ปาวๆ เชียะ”
อัศดาตอบกลับพร้อมหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม “ผม?” พูดพลางชี้ไปที่หน้าตัวเอง “ก็ลู รุ่นน้องของพี่ในที่บริษัท♦♠♣♥ไง จำมะได้เหรอ” ลูพูดตอบ อัศดา
ทำหน้างงเล็กน้อย..... “อ๋อ ลู จำได้ละ นายที่นั่งรถมาด้วยกันใช่ป้ะ” อัศดาตอบไปมั่วๆแต่ก็ถูกประเด็น “เออ นึกว่าความจำเสื่อมซะละ” ลูตอบพร้อมกับหันมองไปรอบๆ
“พี่ว่าที่นี่น่าจะเป็นเมืองที่เราจะมาทำงานกันนะ” อัศดาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “เอ่อ แล้วจะไปไหนต่อดีอ่ะพี่” ลูพูดถาม “น่าจะไปทางนี้ก่อนนะ”อัศดานึกถึง
ทางที่เขาเห็นในฝัน มันคือโรงปั่นไฟ แล้วเขาก็เดินไปตามทางที่จำได้ เขาเจอป้ายเตือนเหมือนกับที่เจอในฝันเด๊ะ แต่ในโรงปั่นไฟ ไม่มีเด็กคนนั้น “ฮ้า เจอละเดี๋ยว
พี่ขอเข้าไปดูก่อนนะ” อัศดาสังเกตว่ามีลูกกรงเปิดอยู่จึงคิดที่จะเดินเข้าไป “พี่ ผมไปด้วยดิอยู่ ผมไม่อยากอยู่กับไมเคิ่ลแค่สอง......คน เนอะไมเคิ่ล” พูดเสร็จลูก็วิ่ง
ตาม อัศดาเข้าไปในโรงปั่นไฟ อัศดาเจอกองเลือดกองหนึ่งซึ่งเขาจำได้ว่า ในฝันเขาโดนพวกมันแทะเล่นตรงนี้ เขามองไปเห็นสร้อยเส้นนึงซึ่งตกอยู่ไม่ห่างจากกองเลือดนัก
มันเป็นสร้อยคอของเขาเองซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ได้ แต่เขก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาจึงหยิบมันขึ้นมาและใส่ที่คอเหมือนเดิม ไม่ไกลจากจุดที่มี
รอยเลือดมีรอยเลือดรูปฝ่าเท้าเล็กๆเดินไปทาง หลังโรงปั่นไฟ ทั้งคู่เดินตามรอยเท้านั้นไป สุดรอยเท้านั้นพบห้องควบคุมของที่นี่ซึ่งประตูก็เปิดแง้มเล็กน้อย
เหมือน จะเชิญทั้งคู่ให้เข้าไปดูข้างใน “เอาไงดีอ่ะพี่ จะบวกไม่บวก” ลูถามกวนๆ อัศดาหันมองหน้าลูและพลันนึกถึงเรื่องในฝันว่าถ้าหากเปิดไปเจอนายแบบนั้น นี่...
ซิปหายแน่ เขาจึงเอ่ยชวนลู “ลู เข้าไปด้วยกันนี่แหละ...มันจะมีอะไรในนั้นนักหนาวะ” พูดเสร็จก็ไปเกาะแขนลูแน่นปานปลิง ลูมองหน้าอัศดาด้วยความ
ขยะ แขยงและเดินเข้าไปดูด้วยกันด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจนัก สิ่งแรกที่พบคือ รอยเลือดที่เปื้อนไปทั่วห้อง สภาพภายในห้องกระจัดกระจาย โต๊ะ-เก้าอี้ล้ม
เละเทะ ,แผงควบคุมก็มีเลือดฉาบอยู่บาน กลิ่นเหม็นเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ทั้งสองเดินสำรวจรอบๆห้องเผื่อว่าจะมีอะไรนอกจากรอยเลือดนี่บ้าง
“นี่ พี่ ในนี้มันต้องมีตัวอะไรซักตัวมาละเลงเลือดนี่เล่นแน่เลยพี่” ลูชวนคุยและเขาก็พบอะไรบางอย่างที่มุมห้อง “นี่ลู พี่เจอนี่ด้วยแหละน่าเล่นมะ” อัศดาหยิบ “วอล์คกี้ทอล์กกี้” ขึ้นมาชูพร้อมโพสท่าขอโออิชิสี่กล่อง(มีสองมือก็ต้องสี่กล่องชิมิ)ให้ลูดู “....=__=.... เอ่อ...
ดูนี่ก่อนดีกว่าพี่” ลูหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552
บทที่1 SH:ZS
ห่างจากโบสถ์ไปประมาณสามกิโลเมตร ได้มีรถตู้คันหนึ่งได้จอดพลิกตะแคงข้างอยู่ที่ชายป่าหลังเมือง "ตุ้บ ตุ้บ กร่อบ กร้อบ เพล้ง!!!" เสียงกระจกรถแตก "แกร่ก..แกร่กๆ..." ได้มีมือคู่หนึ่งและเท้าหนึ่งข้างกำลังงัดและดันแผ่นกระจกที่เหลืออยู่ที่ยังติดอยู่กับตัวรถให้หลุดออกมา มีชายคนหนึ่งได้ปีนออกมาจากรถด้วยความทุลักทุเล ที่หัวด้านซ้ายของเขาแตกเลือดที่เคยไหลออกมาจับตัวแข็งแล้ว ที่เหลือก็มีแค่รอยฟกช้ำตามแขน-ขาเล็กน้อยเท่านั้น "โอย... กว่าจะออกมาได้" ชายปริศนาพูดพลางลุกขึ้นยืนบนซากรถพร้อมมองไปรอบๆ "ถึงแล้วเหรอเนี่ย" เขาพูดเสียงเอื่อยๆพร้อมกับบิดขี้เกียจไปหาวไป แล้วเขาก็กระโดดลงจากรถ ตุ้บ "อื้มมม อากาศยามเช้านี่มันดีจริงๆน่ะแหละ" พูดแล้วก็พลางสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด "อุ้บบ!!!" เขาเริ่มสำลักเหมือนกับมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในคอ
"หื้มม~~~~~ ......นี่มันขี้เถ้านี่หว่า" เขาร้องพลางล้วงหาผ้าเช็ดหน้าในกางเกงเพื่อจะมาปิดปาก "..!?.." เขาล้วงเจอกระเป๋าสตางค์แล้วจัดการเปิดมันดู "นายอัศดา ประกาวิล.....หืม?นี่รูปเราเรอะ...แหม่หล่อใช้ได้" เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจ "อืม....แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น...แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ไงหว่า??" แล้วเขาก็มองไปรอบๆอีกครั้ง เขาได้สังเกตเห็นป้ายอะไรสักอย่างตั้งอยู่ไม่ไกลจากรถนัก เขาจึงเดินเข้าไปดู "เอ๊ะ นั่นมันป้ายอะไร" เขาคิดพลางอ่านไปที่ป้าย "ระวัง! เขตไฟฟ้าแรงสูง" เขาอ่านเสร็จก็เหลือบไปมองด้านหลังของป้าย เขาเห็นรั้วสูงประมาณ 2ม.ครึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ ภายในนั้นก็มีเสาไฟฟ้าหลายต้นและหม้อแปลงขนาดใหญ่หลายตัว มันคือโรงปั่นไฟนั่นเอง เขาเห็นเด็กชายคนหนึ่งเด็กคนนั้นใส่เสื้อกล้ามขาดๆนั่งอยู่ในรั้วข้างๆหม้อแปลงตัวหนึ่งที่ไกล้กับรั้วที่ๆเขายืนอยู่ เขาเรียกทักเด็กคนนั้น “ไอ้หนู หนูเป็นคนแถวนี้รึเปล่าคับ” เด็กคนนั้นไม่ตอบอะไร “เอ่อ...คือ..ถ้าหนูเป็นคนแถวนี้น้าขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย คือพอดีน้าจะไปสถานีตำรวจน่ะ” อัศดาพูดไม่ทันเสร็จ เด็กคนนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วชี้นิ้วมาที่คอของเค้า “หือ นี่อ่ะเหรอ ” เขาเอามือดึงสร้อยที่คอออกมาดู มันเป็นสร้อยคอรูปประแจไขว้ด้ามนึงสีเงินและด้ามนึงสีทอง เขาก้มหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก็ตอบไปทั้งๆที่ยังก้มหน้ามองสร้อยอยู่ “ถ้าอยากได้ล่ะก็ตอบน้ามาก่อนสิ เดี๋ยวน้าให้” พอพูดเสร็จเขาก็เงยหน้าไปมองเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นหายไป ทันใดนั้นบรรยากาศรอบๆตัวเขาเริ่มมืดลงทีละนิด ตะแกรงเหล็กเบื้องหน้าเริ่มมีคราบเลือดเกาะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หม้อแปลงได้หายไป จากที่มันเคยอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นท่อขนาดใหญ่แซมด้วยท่อขนาดพอดีมือทอดยาวขึ้นไปเบื้องบนอันมืดมิด
พื้นที่เคยเป็นหญ้าก็กลายเป็นตะแกรงเหล็กที่มองไม่เห็นปลายทางเช่นกัน “อะไรอีกเนี่ย ” เขาบ่นอย่างหัวเสีย แต่ถึงจะบ่นอย่างไรก็ไม่ทำให้มันสว่างขึ้น ตอนนี้มันมืดเสียจนมองอะไรไม่เห็นแล้ว เขาจึงล้วงหยิบไฟแช๊กมาจุดไฟเพื่อส่องทาง “ไหน ไหน อ้าว?ไอ้หนูเอ็งวิ่งไปไหนแล้วอ่า.......เอ๊ะ! เรามีไฟแช๊กได้ไงหว่า” เขาเริ่มงงกับตัวเองแล้วว่าเขามีไฟแช๊กได้อย่างไร เขาเริ่มเดินออกจากบริเวณที่เคยเป็นโรงปั่นไฟไปทางเหนือ ไม่นานเขาก็พบกับจุดสิ้นสุดของตะแกรงเหล็กที่พื้น มันว่างเปล่า ทั้งไกลจนมองหาอีกฝั่งไม่เจอและยังลึกจนมองไม่เห็นก้น สองสิ่งนี้ทำให้อัศดาถึงกับเสียวสันหลังและโดดเดี่ยวสุดใจ เขายืนนิ่งอยู่ซักพักก็มีเสียงอะไรบางอย่างเดินบนตะแกรงใกล้ๆกับที่ๆเขายืนอยู่ “ครืด~~~~~ครืด~~~~~ครืด~~~~~” เขาเริ่มส่องไฟหาต้นเสียงไปมาและค่อยๆย่องไปตามเสียงปริศนาที่ได้ยิน ไฟเพียงสลัวๆทำให้เขาเห็นเงาที่ตะคุ่มๆของอะไรบางที่ปลายทาง แทบไม่เชื่อสายตาว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันเป็นคนแก่คนหนึ่งในสภาพตัวขาดครึ่งเลือดนองไปทั่วบริเวณกลับมีแขนสองคู่ คู่หนึ่งยังอยู่ตำแหน่งปกติแต่อีกคู่นั้นมันงอกออกมาจากช่วงปลายของเอว มันกำลังแทะก้อนเนื้อแปลกๆก้อนนึงอยู่ เขาเริ่มมองไปยังสิ่งที่มันกำลังแทะเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองอีกครั้ง มันเป็นท่อนล่างของปิศาจตนนั้นแถมไส้ยังไม่ขาดจากกันดีแต่ขาข้างหนึ่งถูกแทะจนเกือบเกลี้ยง เขาคิดในใจว่าเขามองมันนานไปรึเปล่าและกำลังจะย่องจากไป จู่ๆไฟแช๊กก็ได้ดับลง “โว้ย….มาดับอะไรเอาตอนนี้วะ”เขาพึมพำอย่างหัวเสีย เสียงแทะเบาที่เคยได้ยินหายไปจากหูแล้วแต่มีเสียงอื่นเข้ามาแทนที่ “ครืด~~~~~ครืด~~~~~ครืด~~~~~” เสียงนั้นเริ่มดังเข้ามาเรื่อยๆและยิ่งกว่านั้นเหมือนว่าเสียงมันจะไม่ได้มาทางเดียวเสียแล้ว “เวรแล้วไง” เขาพูดออกมาเบาๆ “ก๊าซซซ.......ก๊าซซซ..........แซ่กกก....ครืด.....” เสียงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้อัศดาขึ้นเรื่อยๆ อัศดาเริ่มค้นหาของในตัวว่ามีอะไรที่พอจะช่วยเขาได้บ้างในตอนนี้ ท่ามกลางความมืดมิดความสิ้นหวังได้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ “ไม่มี ไม่มี ตรงนี้ก็ไม่มี โอ้ยยยยย กุเอาประแจไว้ไหนว้า~~~” เขาหาประแจของเขาไม่พบแต่นึกขึ้นได้ว่า “ที่รถ!” พอตั้งสติได้เขาก็เตรียมออกชาร์จแต่เขาก็ถูกดึงขาไว้ อัศดาเริ่มสะบัดขาแต่ไม่มีทีท่าว่ามือคู่นั้นจะหลุดออก เขาบรรจงถีบสิ่งที่เกาะขาเขาจนต้องล้มลงเอามือแกะมันออก เขาสัมผัสได้ถึงลิ้นที่มันแตะมาที่มือ กลิ่นคาวเลือดเริ่มแรงขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ถูกมันอีกตัวล็อคแขนเอาไว้ ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก มันพวกนั้นเริ่มมาล็อคตัวของอัศดามากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาหมดแรงขัดขืน มีพวกมันตัวหนึ่งได้ขึ้นคร่อมเขา ซากท่อนล่างของมันได้วางพาดที่น่องของเขาแล้วมันก็กัดลงมาที่คอของเขา “อ๊ากกกกกกกกกกกก” จากนั้นพวกมันก็รุมกันกัดอัศดา “ซวบบบ แคว่กกกก กร้วบๆๆๆ” พวกมันรุมกันแทะจนเขา.................
จบ บทที่ 1
บทนำ SH:ZS
บทนำ
ซู่ววววว......ฟู่วววววว........เสียงไอร้อนได้พวยพุ่งสู่ความมืดเบื้องบนที่หาที่สุดไม่ได้ เอี๊ยดดดดดด.....แคร้งงง...แคร้งงง...ครืดดด......เสียงฟันเฟืองสนิมเกาะเริ่มที่จะหยุดหมุนทีละตัวสองตัว เข็มนาฬิกาอันใหญ่ของโบสถ์ก็เริ่มจะหยุดเดินแล้วเช่นกัน เข็มนาฬิกานั้นได้หยุดเวลาอยู่ที่ “2.39 น.” หอนาฬิกานี้ยังคงอยู่คู่กับส่วนหนึ่งของของโบสถ์ที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว ในโบสถ์ที่ผุพังนั้น มีบุรุษผู้หนึ่งผู้ที่สวมชุดนักบวชยุคกลางสีน้ำตาลโทรมๆ(นึกถึงชุดนักบวชในยุคของโรบินฮู๊ด) ได้นั่งคุกเข่าสะอื้นไห้ เบื้องหน้าเขานั้นมีชายคนหนึ่งซึ่งถูกตรึงอยู่กับรั้วเหล็ก ชายชุดนักบวชเอ่ยขึ้นมา “อา....ทำไม ทำไม ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด ไฉนลูกจึงต้องมาอยู่ในที่แบบนี้” แล้วเขาก็ร้องไห้ “ฮึก...ฟื้ดดดด....”(เสียงสูดน้ำมูก) “ลูกไม่ไหวแล้ว ลูกไม่อยากเป็นเจอกับไอ้พวกนั้นอีก ไอ้พวกสวะพวกนั้น!” เขาพูดเสียงสั่นเครือ”ลูกเริ่มจะคุมพวกมันไว้ไม่อยู่แล้ว มันเริ่มทำตามใจตัวเองบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น และก็บ่อยขึ้น จนลูกอยากจะจบภาระหน้าที่นี้แล้ว” พูดจบเขาก็ก้มหน้ามองตะแกรงเหล็กเบื้องล่าง หยาดน้ำตาได้เลือนหายไปจากใบหน้าของเขาและเสียงของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป “แต่ลูกก็อุตสาห์ทำตามที่ท่านเคยบอกเคยสอนมาตลอดทำไม.....ทำไมถึงไม่เป็นอย่างที่ท่านบอกสักนิด ทำไมมันถึงไม่ยอมปล่อยลูกออกไปจากไอ้นรกนี่ซะที!!!!!” น้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธและเขาก็เริ่มคำรามเสียงดัง เสียงนั้นหาใช่เสียงมนุษย์ไม่ เสียงของเขากังวานยิ่งกว่าระฆังเรือนใดในโลก พร้อมกันนั้นนั้นร่างกายของเขาเริ่มบูดเบี้ยวและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เสื้อคลุมเริ่มปริและขาดเป็นทางยาวจนชุดเขานั้นเป็นเพียงแค่เศษผ้า ตามร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยเย็บที่ฉีกขาดจากการขยายร่าง ตามรอยแผลที่เปิดได้เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยน้ำเหลืองไลมซึมออกมาบ้าง “โอ๊ววววววววว ลูกไม่ขอทนอีกแล้ว ลูกจะไม่ทำตามที่ท่านสอนอีกแล้ว มันงี่เง่าเกินไปที่จะเชื่อฟังท่าน” เขากัดฟันพูดด้วยความโกรธ แต่ทันใดนั้นร่างกายเขาก็เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิมพร้อมกับเสื้อผ้าที่ไม่เหลือรอยขาดให้เห็น...ราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “.......” เขาได้นั่งลงมองไปที่หน้าของชายผู้ถูกตรึงด้วยความเหนื่อยหอบ ชายผู้ถูกตรึงอยู่กับรั้วได้ขยับปากเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่าง “......” “จริงหรือ ลูกสามารถหลุดออกจากที่นี่ได้จริงๆใช่มั้ย” ชายผู้ถูกตรึงรั้วพยักหน้าและนิ่งไป “ลูกจะทำตามที่ท่านบอก ได้โปรดวางใจเถิด” ชายชุดนักบวชได้หันหลังและเดินจากไป สายลมสายหนึ่ง มันเป็นสายลมที่ไม่น่าจะมีในที่แบบนี้ได้พัดเอาผ้าคลุมศีรษะของชายคนนั้นออก ภายใต้ผ้าคลุมนั้นได้เผยให้เห็นรอยเย็บหลายแห่งบนศีรษะของเขา ซ้ำแล้วยังมีรอยแผลไฟไหม้อีก รอยบางรอยอย่างกับว่าพึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง “หวอออออออออ..........หวออออออออ.......” เสียงไซเรนได้ดังขึ้นไปทั่วบริเวณ “มาถึงกันแล้วสินะ ที่นี่ขอต้อนรับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่นานท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีจากที่เคยดำทมิฬก็เริ่มสว่างขึ้นและหมอกก็เริ่มจับตัวและหนาขึ้นเรื่อยๆ ชายชุดคลุมได้หายไปแล้ว ขณะที่ซากโบสถ์ที่เคยพังยับกลับกลายเป็นว่าเหมือนมันไม่เคยเป็นเช่นนั้น ณ รั้วเหล็กที่เคยมีชายถูกตรึงด้วยโซ่จำนวนสิบสองเส้นได้กลายเป็นผนังหินอ่อนของโบสถ์ ตรงตำแหน่งที่ชายผู้ถูกตรึงถูกแทนที่ด้วยรูปภาพทูตสวรรค์เจ็ดองค์กำลังต่อสู้กับมารทั้งสิบสองตนในหมู่เมฆสีแดง